Farm Ease Agriculture ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ด้วย “ปุ๋ยหมัก” สูตรทำเอง!

ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ด้วย “ปุ๋ยหมัก” สูตรทำเอง!

การทำปุ๋ยหมัก

หากเกษตรกรต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตลำไย ไม่ว่าจะด้วยคุณภาพก็ดี ปริมาณก็ดี การใช้ “ปุ๋ยหมัก” จากเศษใบลำไยและกิ่งไม้หลักทำการตัดตกแต่ง ก็ถือเป็นการลดต้นทุนที่เห็นผลและยั่งยืนมากในระดับหนึ่ง  แถมยังเป็นวิธีการที่สามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่นำกิ่งและใบลำไยมากองหมักไว้ใต้ต้น ก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว แต่ถ้าคุณยังมองภาพไม่ออก หรือต้องการขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักแบบละเอียดยิบ เราได้รวบรวมมาให้คุณเรียบร้อยแล้ว ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลย

ขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักใต้ต้นลำไยง่าย ๆ เริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง

สำหรับขั้นตอนการทำปุ๋ยหมักใต้ต้นลำไย บอกตรงนี้เลยว่าไม่มีขั้นตอนอะไรที่ยุ่งยาก ซับซ้อน แถมยังไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ ให้มากมาย เพียงแค่ทำตามขั้นตอนต่อไปนี้ ก็สามารถทำปุ๋ยหมักที่มีประสิทธิภาพง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

  • เมื่อเริ่มทำการเก็บลำไยแล้วตัดแต่งกิ่ง ให้นำกิ่งมาวางเรียงรอบโคนต้นลำไย รวมถึงกวาดเอาใบลำไยมากองทับกิ่งให้เรียบร้อย (ทำหลายชั้นขยายวงออกไปจนถึงกลางทรงพุ่ม) ส่งผลให้มีเขตใช้ปุ๋ยอินทรีย์บริเวณรอบในทรงพุ่ม และใช้ปุ๋ยเคมีบริเวณรอบนอก
  • โรยปุ๋ยคอกและเชื้อ พ.ด. บนกองปุ๋ยให้ทั่ว
  • ให้น้ำด้วยการใช้สปิงเกอร์หรือสายยางบีบปลายรดให้กระจาย เพื่อทำให้น้ำซึมผ่านตามช่องว่างที่กิ่งวางเรียง ซึ่งวิธีนี้จะทำให้กองปุ๋ยหมักไม่เกิดความร้อน และเมื่อน้ำเริ่มซึมลงดินก็สามารถเก็บความชื้นได้ดี เนื่องจากมีใบลำไยคลุมไว้อีกชั้น
  • ทำการให้น้ำทุก ๆ 7-10 วัน โดยใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือน กิ่งและใบลำไยใต้ต้นจะย่อยสลายเป็นปุ๋ยหมักชั้นดี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการทำปุ๋ยหมักใต้ต้นลำไยจากกิ่งและใบ ถือเป็นเป็นขั้นตอนที่ไม่ต้องลงทุนให้มากมาย แถมยังช่วยประหยัดแรงงานได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่ต้องขนย้าย ประกอบกับช่วยประหยัดน้ำได้สูงถึง 50% ลดปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีได้ประมาณ 30% นอกจากนี้ยังช่วยเก็บความชุ่มชื้นในดินได้ยาวนานยิ่งขึ้นอีกด้วย

แม้ว่าการทำปุ๋ยหมักด้วยตัวเองจะใช้เวลานานกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี แต่บอกเลยว่า “ปุ๋ยหมัก” นับเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แถมยังปรับปรุง-บำรุงดินให้สมบูรณ์อีกด้วย สังเกตได้จากจำนวนไส้เดือนดินที่เพิ่มมากขึ้น และมีดินร่วนซุยรากฝอยแตกใหม่มาก สามารถดูดกินธาตุอาหารได้ดีทำให้ต้นลำไยสมบูรณ์แข็งแรง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการผลิตลำไยได้รับผลตอบรับที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าจะด้วยคุณภาพหรือปริมาณก็ตาม

Related Post

การใช้โดรน

การใช้โดรนในการเกษตร: การตรวจสอบพืชและพื้นที่จากท้องฟ้าการใช้โดรนในการเกษตร: การตรวจสอบพืชและพื้นที่จากท้องฟ้า

การใช้เทคโนโลยีในการเกษตรมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเพิ่มผลผลิตในอุตสาหกรรมเกษตร ในปัจจุบัน โดรนได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือที่สามารถช่วยเกษตรกรในการดูแลแปลงที่ดินและพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพบทความนี้จะสำรวจหลายปัญหาที่โดรนสามารถช่วยแก้ไขในการเกษตร โดยเน้นที่การใช้โดรนในการตรวจสอบพืชและพื้นที่จากท้องฟ้า 1.การใช้โดรนในการตรวจสอบพืช 1.1 การตรวจสอบสภาพของพืช การใช้โดรนทำให้เกษตรกรสามารถตรวจสอบสภาพของพืชได้อย่างละเอียดแม้จากระยะไกล โดรนสามารถถ่ายทอดข้อมูลที่เกี่ยวกับการเจริญเติบโต การสมบูรณ์ของดอก และโรคพืชที่อาจจะไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า 1.2 การตรวจสอบคุณภาพของดิน โดรนสามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพของดินที่ตั้งอยู่ในแปลงเพาะปลูก การวัดค่า pH ปริมาณธาตุอาหาร และความชื้นในดินจะช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงสภาพดินให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช 2.การใช้โดรนในการตรวจสอบพื้นที่จากท้องฟ้า 2.1 การสำรวจแปลงที่ดิน โดรนสามารถทำการสำรวจที่ดินโดยการถ่ายทอดภาพและวิดีโอจากท้องฟ้า นี้จะช่วยให้เกษตรกรได้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของแปลงที่ดิน การกระจายตัวของพืช และปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในพื้นที่นั้น 2.2 การควบคุมการให้น้ำ โดรนสามารถช่วยในการตรวจสอบระดับน้ำในแปลงที่ดิน การระบุบริเวณที่มีการสูญเสียน้ำมากหรือน้อยเป็นข้อมูลที่สำคัญในการวางแผนการให้น้ำในระบบเกษตรกร การใช้โดรนในการเกษตรมีประโยชน์มากมาย

เครื่องมือทางการเกษตร

อุปกรณ์ทางการเกษตรที่สำคัญที่เกษตรกรควรมี: เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรที่สำคัญที่เกษตรกรควรมี: เพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิต

การเกษตรเป็นสายอาชีพที่สำคัญและเป็นหลักในการเลี้ยงชีพมนุษย์มานานนับพันปี กับการเติบโตของเทคโนโลยีในปัจจุบัน อุปกรณ์ทางการเกษตรมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและผลผลิตของเกษตรกร ในบทความนี้ เราจะพูดถึงอุปกรณ์ทางการเกษตรที่สำคัญที่เกษตรกรควรมีเพื่อให้การผลิตเกษตรกรรมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ. 1. เครื่องมือทางการเกษตรอัจฉริยะ เครื่องมือทางการเกษตรอัจฉริยะเป็นเทคโนโลยีที่มีความสามารถในการตรวจวัดและวิเคราะห์ข้อมูลทางการเกษตรอย่างรวดเร็ว โดยใช้เซนเซอร์และระบบประมวลผลข้อมูลอัจฉริยะ เช่น การวัดค่า pH ของดิน, การตรวจวัดปริมาณน้ำในดิน, และการตรวจสอบสภาพอากาศ ที่สามารถช่วยให้เกษตรกรสามารถปรับปรุงการเพาะปลูกและการดูแลรักษาพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ. 2. รถแทรกเตอร์อัจฉริยะ การใช้รถแทรกเตอร์ที่มีเทคโนโลยีอัจฉริยะช่วยให้การดำเนินการในแปลงเกษตรเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น รถแทรกเตอร์อัจฉริยะสามารถทำการปรับแต่งตามพื้นที่และการทำงานที่ต้องการได้ นอกจากนี้ มีระบบนำทางที่ช่วยให้การเดินทางในแปลงเกษตรเป็นไปอย่างแม่นยำ. 3. ระบบน้ำหยดและการจัดการน้ำ การจัดการน้ำในการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อผลผลิต ระบบน้ำหยดเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพในการให้น้ำแก่พืช ระบบน้ำหยดช่วยลดการสูญเสียน้ำและช่วยในการควบคุมปริมาณน้ำที่ให้ในแต่ละครั้ง ทำให้เกษตรกรสามารถปรับการให้น้ำให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช. 4. ระบบตรวจวัดคุณภาพดิน